ด้วยองค์การบริหารส่วนตำบลหนองโสน  ร่วมกับสำนักงานขนส่งจังหวัดเพชรบุรี 
จัดกิจกรรมอบรมให้ความรู้เรื่องระเบียบวินัย กฎจราจรในการใช้รถใช้ถนน   จัดทำใบขับขี่  ต่ออายุ
ใบอนุญาต   ขับรถยนต์และรถจักรยานยนต์   ระหว่างวันที่ 8 – 9  สิงหาคม  2558   ณ องค์การบริหารส่วนตำบลหนองโสน  โดยผู้ที่สนใจสามารถมาลงชื่อและขอรับรายละเอียดได้ตั้งแต่วันนี้  จนถึงวันที่  10  กรกฎาคม  2558   

กรณีทำใหม่ใบอนุญาตรถจักรยานยนต์  (สิ้นอายุ 2 ปี)

1. ใบรับรองแพทย์  ออกก่อนวันยื่นคำขอไม่เกิน  1 เดือน

2. สำเนาบัตรประชาชน  อายุตั้งแต่ 15 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป 
          (รับรองสำเนาชื่อ – สกุล)

3. อบรม 4 ชั่วโมง  สอบข้อเขียน 50 ข้อ  และสอบขับรถด้วย

4. ค่าธรรมเนียม  165.-บาท

กรณีต่ออายุจากชนิดชั่วคราว  (กรณีอายุไม่ครบ 18 ปี จะต่อได้ 1 ปี)

1. ต่อล่วงหน้าได้

2. สำเนาบัตรประชาชน  (รับรองสำเนาชื่อ – สกุล)

3. ใบรับรองแพทย์  ออกก่อนวันยื่นคำขอไม่เกิน  1 เดือน

4. ทดสอบสมรรถภาพของร่างกาย

5. อบรม 1 ชั่วโมง

6. ชำระค่าธรรมเนียม  รับใบอนุญาตขับรถ

7. ค่าธรรมเนียม 165.-บาท

เปลี่ยนประเภทจากชนิดชั่วคราว 
     (กรณีอายุเกิน 18 ปีขึ้นไป  เป็นชนิด 5 ปี)

1. ต่อล่วงหน้าได้ 60 วันก่อนสิ้นอายุ  กรณีต่อล่วงหน้า  ถ่ายใบอนุญาต

    ฉบับเดิมมาด้วย

2. สำเนาบัตรประชาชน  (รับรองสำเนาชื่อ – สกุล)

3. ใบรับรองแพทย์  ออกก่อนวันยื่นคำขอไม่เกิน  1 เดือน

4. ทดสอบตาบอดสี  ทดสอบสมรรถภาพของร่างกาย

5. ชำระค่าธรรมเนียม  รับใบอนุญาตขับรถ

6. ค่าธรรมเนียม   จยย.  365.-บาท   รถยนต์  615.-บาท 

   (ถ้ามีแก้ไขรายการ  เสียเพิ่มอีก 50.-บาท)

50 ข้อ/และกรณีใบอนุญาตขับรถสิ้นอายุเกิน 3 ปี  อบรม 4 ชั่วโมง 
สอบข้อเขียน 50 ข้อ และสอบขับรถด้วย 

6. ค่าธรรมเนียม   จยย.  365.-บาท   รถยนต์  615.-บาท   

1. สำเนาบัตรประชาชน (รับรองสำเนาชื่อ – นามสกุล)

2. ใบอนุญาตขับรถฉบับเดิม

3. กรณีใบอนุญาตสูญหาย  ต้องมีใบแจ้งความนำมาด้วย

4. ค่าธรรมเนียม   215.-บาท 
              (ถ้ามีแก้ไขรายการ เสียเพิ่มอีก 50.-บาท)

***มาวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ก็ได้  ระหว่างเวลา  10.30 – 12.00 น.

ตารางกิจกรรม

**** หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลในการทำใบขับขี่รถฯ  สามารถติดต่อขอรับเอกสารได้ที่  องค์การบริหารส่วนตำบลหนองโสน (ฝ่ายประชาสัมพันธ์)  หรือสอบถามได้ที่เบอร์โทร. 032 - 400052 
           **** ในการสมัครสามารถยื่นใบสมัครพร้อมหลักฐานอื่นๆ ได้ภายในวันที่  24  กรกฎาคม  2558 นี้เท่านั้นและผู้เข้าอบรมโปรดแต่งกายสุภาพในวันอบรมด้วยน่ะค่ะ

                       
                           ไวรัส “เมอร์ส-โควี”

กลุ่มเสี่ยงที่จะมีอาการป่วยรุนแรง   ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ  ได้แก่  
  ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน    โรคปอดเรื้อรัง    โรคไตวาย   ขอให้หลีกเลี่ยง
  การเที่ยวชมฟาร์ม  พื้นที่โรงเก็บผลผลิตทางการเกษตร และตลาดที่มี
  อูฐอยู่ แต่หากจำเป็นต้องเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว  ขอให้หลีกเลี่ยงการ
  สัมผัสอูฐ  ตลอดจนหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำนมดิบจากอูฐที่ยังไม่ผ่านการ
  ฆ่าเชื้อ รวมทั้งการกินอาหารที่ไม่สะอาดหรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านการล้าง
  ปอกเปลือก หรือปรุงให้สุกเนื่องจากอาจมีการปนเปื้อนสารคัดหลั่งของ
  สัตว์ได้                                                   
             สำหรับการป้องกันและลดโอกาสการแพร่กระจายของเชื้อ  ผู้เชี่ยวชาญ
  ด้านโรคระบาด ระบุว่า สำหรับผู้ที่เดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาด  เช่น               ภูมิภาค  ตะวันออกกลางหรือประเทศ
  เกาหลีใต้  เมื่อกลับมาไทย ควรรีบไปพบ
  แพทย์    เพื่อตรวจว่าได้รับเชื้อมาหรือไม่     
  เพื่อที่หาก  ติดเชื้อจะได้ทำการรักษาได้
  ทันท่วงที

     อนึ่ง..ระยะฟักตัวของเชื้อเมอร์ส - โควี
  อยู่ที่ราว 14 วัน    ขณะที่ข้อปฏิบัติของผู้ที่
  ต้องเดินทางเข้าไปยังพื้นที่เสี่ยง  เช่น  
  อย่าเข้าใกล้ผู้มี อาการต้องสงสัย  หรือเข้าไปยังจุดที่มีการระบาดรุนแรง เป็นต้น
        วิธีการป้องกันพื้นฐานที่คุ้นเคยกันดี  เช่น  การสวมหน้ากากอนามัย  
และการล้างมือก่อนรับประทานอาหาร ก็ช่วยลดการแพร่เชื้อได้มากแล้ว
        ขอแนะนำ  ให้ประชาชนที่มีความจำเป็นต้องเดินทางไปตะวันออกกลาง
 ปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขงดสัมผัสกับอูฐ  หรือดื่มนมอูฐดิบ
  ล้างมือด้วยสบู่บ่อยๆ  และหากเดินทางกลับประเทศไทยแล้ว  ภายใน 14 วัน
  พบมีอาการป่วย คือ  มีไข้  ไอ  มีน้ำมูก  เจ็บคอ  ให้ใส่หน้ากากอนามัยและ
  ขอให้รีบพบแพทย์ แจ้งประวัติการเดินทางไปต่างประเทศทันที   เนื่องจาก
   แหล่งแพร่เชื้อไวรัสนี้อยู่ในประเทศ
   ตะวันออกกลางเป็นหลัก”
       อธิบดีกรมควบคุมโรคย้ำ พร้อมกับ
  บอกว่า เบื้องต้นประเทศไทยจะนำเอางบ
  ประมาณ และมาตรการเฝ้าระวังป้องกัน
  โรคติดเชื้ออีโบลามาใช้ในการป้องกันโรค
   เมิร์ส - โควีก่อน  
  
    หากประชาชนมีข้อสงสัย โทร.สอบถามได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422             ตลอด 24 ชั่วโมง.